Translate

123456

สวัสดีครับกระผม นายไวยวิทย์ ปลูกชาลี 59010512076 ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่บล็อคของผมนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการศึกษานะครับ ขอบคุณครับ

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ดวงจันทร์ (Moon)


ดวงจันทร์ (Moon)


ดวงจันทร์เป็นบริวารดวงเดียวของโลก


       ชาวโรมันเรียกว่า Luna ส่วนชาวกรีกเรียกว่า Selene หรือ Artemisดวงจันทร์เป็นที่รู้จักตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เป็นวัตถุที่สว่างมากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากดวงอาทิตย์ เป็นที่หลงไหลของมนุษย์ชาติมาโดยตลอด เมื่อมองจากพื้นโลก จะเห็นส่วนซึ่งเป็นที่ราบสูงที่มีความสว่างและบริเวณที่ราบที่เมีความมืด Galileo และนักดาราศาสตร์เฝ้าสังเกตดวงจันทร์มาเป็นศตวรรษผ่านกล้องโทรทรรศน์ที่สร้างขึ้นมา จนกระทั่งมาถึงยุคอวกาศที่มนุษย์สามารถไปเดินสำรวจบนดวงจันทร์ได้ ความรู้ที่ได้จากการสำรวจดวงจันทร์ทำให้เข้าใจถึงขบวนการทางธรณีวิทยาและความซับซ้อนของโลกเรา
ดวงจันทร์โคจรรอบโลกใช้เวลา 27 วัน 7 ชั่วโมง 43 นาที มีระยะทางห่างจากโลก 384,403 กิโลเมตร ค่ามุมระหว่าง โลก ดวงจันทร์ และ ดวงอาทิตย์ จึงเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงลักษณะที่ปรากฏบนท้องฟ้าของดวงจันทร์ในแต่ละคืน
แรงดึงดูดระหว่างโลกและดวงจันทร์ทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆที่น่าสนใจมากมาย ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดอันหนึ่งคือ น้ำขึ้นน้ำลง (tide) แรงดึงดูดของดวงจันทร์ที่กระทำบนพื้นผิวโลกแต่ละแห่งมีขนาดไม่เท่ากัน บริเวณที่หันเข้าหาดวงจันทร์จะได้รับแรงดึงดูดมากกว่าด้านตรงข้าม แต่เนื่องจากโลกมีสภาพเป็นวัตถุที่ยืดหยุ่นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมหาสมุทร ดังนั้นการยืดตัวจึงไม่เป็นเส้นตรงไปตามระนาบที่เชื่อมระหว่างโลกและดวงจันทร์ เมื่อศึกษาถึงลักษณะพื้นผิวของโลกจะพบว่า บริเวณที่นูนขึ้นมา 2 บริเวณ บริเวณหนึ่งเป็นด้านที่หันเข้าหาดวงจันทร์ อีกด้านหนึ่งเป็นด้านตรงข้าม และผลอันเนื่องจากการหมุนรอบตัวเองที่เร็วกว่าการโคจรรอบโลก 1 รอบ ทำให้บริเวณที่นูนขึ้นจึงเปลี่ยนแปลงตำแหน่งไปได้ เป็นสาเหตุให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง 2 ครั้งต่อวัน


        แรงดึงดูดที่ไม่สมมาตรเป็นสาเหตุให้การหมุนของดวงจันทร์มีลักษณะเป็น synchronous จึงหันผิวด้านเดียวเข้าหาโลก
โดยความเป็นจริงการโคจรของดวงจันทร์ยังไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากวงโคจรไม่เป็นวงกลม ดังนั้นบางส่วนของดวงจันทร์ด้านที่อยู่ไกลก็อาจเห็นได้ในบางครั้งดวงจันทร์เคยเชื่อกันว่าไม่มีบรรยากาศ แต่จากหลักฐานการสำรวจในภายหลังแสดงให้เห็นว่ามีน้ำแข็งอยู่ในส่วนลึกของหลุมอุกาบาตใกล้กับบริเวณขั้วใต้และบริเวณขั้วเหนือ
ดวงจันทร์มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3,476 กิโลเมตร ชั้นเปลือกของดวงจันทร์ มีความหนาเฉลี่ยประมาณ 68 กิโลเมตร ในบางบริเวณอาจไม่พบชั้นเปลือกเลย หรือในบางบริเวณอาจมีชั้นเปลือกหนาถึง 107 กิโลเมตร ใต้ชั้นเปลือกเป็นส่วนของ mantle และ อาจมีแกนกลาง (core) อยู่ด้วย ส่วนที่เป็น mantle จะหลอมเพียงบางส่วนเท่านั้น
มีพื้นที่ราบ 2 แห่งที่อยู่บนดวงจันทร์ บริเวณซึ่งมีหลุมอุกาบาตมากและอายุมาก เรียกว่า highlands และ บริเวณที่ค่อนข้างราบเรียบและมีอายุน้อย เรียกว่า maria บริเวณที่เรียกว่า maria ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 16% ของพื้นผิวดวงจันทร์ อยู่ด้านดวงจันทร์ที่หันเข้าหาโลก เป็นบริเวณที่เคยมีอุกาบาตขนาดใหญ่มาตกและต่อมาถูกปิดทับด้วยลาวา พื้นผิวส่วนใหญ่ของดวงจันทร์เป็นพวก regolith ที่เกิดจากการตกของอุกาบาตพื้นผิวของดวงจันทร์ในอดีตที่ผ่านมาถูกชนด้วยอุกาบาตเป็นจำนวนมาก ทำให้หินที่เป็นเปลือกมีการผสม หลอมและตกจมลงสู่ภายในดวงจันทร์ อุบาบาตที่วิ่งชนดวงจันทร์ได้พาเอาหินแปลกปลอมมากระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นผิว การชนของอุกาบาตยังทำให้หินที่อยู่ในระดับลึก โผล่ขึ้นมาบนพื้นผิวและเศษหินเหล่านี้กระจายไกลออกไปจากแหล่งกำเนิด เปลือกที่บางและมีรอยแตกเป็นช่องทางให้ลาวาที่อยู่ภายในดวงจันทร์แทรกตัวขึ้นมาบนพื้นผิว การที่ดวงจันทร์ไม่มีบรรยากาศและน้ำ จึงไม่มีกระบวนการผุพัลทางเคมีกับส่วนประกอบทั้งหลายที่อยู่บนพื้นผิว ดังนั้นหินซึ่งมีอายุกว่า 4 พันล้านปีจึงยังพบอยู่บนพื้นผิวของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญที่ทำให้เข้าใจถึงประวัติในช่วงแรกของระบบสุริยะ ซึ่งไม่สามารถหาหลักฐานเหล่านี้ได้จากบนพื้นโลก กระบวนการทางธรณีวิทยาที่เกิดขึ้นในปัจุบันมีเฉพาะการชนของอุกาบาตขนาดใหญ่ที่ทำให้เกิด regolith เท่านั้น
ตัวอย่างหินและดินที่ถูกนำกลับมายังพื้นโลกมีน้ำหนักรวม 382 กิโลกรัม ซึ่ง 20 ปีหลังจากนั้น หินเหล่านี้ยังได้รับการศึกษาอยู่อย่างต่อเนื่อง หินส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 4.6 ถึง 3 พันล้านปี ในขณะที่ตัวอย่างหินที่เก็บได้จากพื้นโลก มีอายุไม่เกิน 3 พันล้านปี ดังนั้นหินที่ได้จากดวงจันทร์จึงเป็นหลักฐานที่สำคัญในการศึกษาการกำเนิดของระบบสุริยะ ซึ่งไม่สามารถหาหลักฐานได้จาดหินที่มีอยู่บนพื้นโลก
ก่อนที่จะได้มีการศึกษาตัวอย่างหินที่ได้จากดวงจันทร์ เคยมีทฤษฏีต่างๆที่เชื่อเกี่ยวกับการกำเนิดของ โลก และ ดวงจันทร์ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 แนวทางคือ
1. โลกและดวงจันทร์เกิดขึ้นในเวลาพร้อมกันจาก Solar Nebular
2. ดวงจันทร์แยกตัวออกจากโลก
3. ดวงจันทร์เกิดเป็นดวงดาวและถูกโลกดึงดูดเข้ามาเป็นดาวบริวาร
แต่ทั้ง 3 แนวทางก็ยังไม่สามารถอธิบายปัญหาต่างได้ชัดเจน ในระยะต่อมาหลังจากที่ได้มีการศึกษาตัวอย่างหินที่นำกลับมายังพื้นโลก ทำให้เชื่อว่าดวงจันทร์อาจหลุดออกมาจากโลกอันเนื่องจากการชนของอุกาบาตขนาดใหญ่
บนดวงจันทร์ไม่พบสนามแม่เหล็ก แต่หินบางส่วนที่อยู่บนผิวดินแสดงให้เห็นถึงอำนาจแม่เหล็กคงค้างที่เป็นหลักฐานบ่งบอกว่า ในอดีตดวงจันทร์ก็เคยมีสนามแม่เหล็ก
เนื่องจากดวงจันทร์ไม่มีทั้งสนามแม่เหล็กและบรรยากาศ ดังนั้นพื้นผิวของดวงจันทร์จึงได้รับผลกระทบจากลมสุริยะ ไฮโดรเจนไอออนซึ่งมากับสมสุริยะ จะไปสะสมตัวอยู่ใน regolith ที่อยู่บนพื้นผิวของดวงจันทร์ ซึ่งตัวอย่างหินที่นำกลับมาจากดวงจันทร์มีประโยชน์อย่างมากในการศึกษา ลมสุริยะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น